top of page

James Bond ในยุคสมัยของ Omega

นับตั้งแต่ปี 1962 ภาพยนตร์สายลับ James Bond ได้ดำเนินเนื้อเรื่องตามปลายปากกาของเอียน เฟลมมิ่ง (Ian Fleming) เจ้าของเรื่องราวสายลับอังกฤษนี้มาโดยตลอด ทั้งการเรียกสิ่งของด้วยชื่อแบรนด์ สะท้อนถึงความละเอียดและมีระดับของตัวเอก ตลอดจนนาฬิกาที่เมื่อไล่ย้อนเปิดดูในนิยายแล้ว จะพบว่าเฟลมมิ่งเขียนคำว่า Rolex หลายครั้งหลายครา ทำให้ภาคแรก ๆ Bond สวม Rolex Submariner รุ่นเดิมติดกันถึง 4 ภาค

แต่นั่นไม่ได้แปลว่า Bond จะต้องใส่ Rolex ตลอดไป เพราะไม่มีหลักฐานหรือการร่วมงานอย่างเป็นทางการว่าทางแบรนด์จะเป็นสปอนเซอร์ให้กับหนัง หมายความว่าไม่มีสิ่งใดผูกมัดอย่างเป็นทางการให้ Rolex ต้องอยู่บนข้อมือของ Bond ประกอบกับการมาของควอทซ์ นาฬิกาของเขาจึงมีหลากหลายแบรนด์แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและเทคโนโลยี โดยตั้งแต่ปี 1973 เป็นต้นมา นาฬิกาที่ Bond ใส่แต่ละภาคจะเป็นนาฬิกาควอทซ์และดิจิตัล ซึ่งเป็นผลมาจากปี 1969 ที่ Seiko นำพานาฬิกาควอทซ์เรือนแรกเข้ามาปั่นป่วนอุตสาหกรรมนาฬิกายุโรป ด้วยความเที่ยงตรงที่เหนือกว่าและการผลิตระดับ Mass production ดังนั้น นาฬิกาของ Bond หลังยุค 1970s จึงประกอบไปด้วย Seiko, Pulsar, และ TAG Heuer ซึ่งเป็นระบบควอทซ์ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม ยุคสมัยของการเปลี่ยนนาฬิกาไม่ซ้ำรุ่นก็จบลง เพราะข้อมือของ Bond ถูกจับจองด้วยนาฬิกาจาก Omega ในอีก 2 ทศวรรษถัดมา โดยมีเพียร์ซ บรอสแนน (Pierce Brosnan) และแดเนียล เคร็ก (Daniel Craig) ผู้รับบท Bond คนปัจจุบันสวมใส่ สร้างภาพจำที่ชัดเจนว่านาฬิกาของสายลับต้องเป็น Omega

Omega : ภาพจำใหม่ของ James Bond


Pierce Brosnan ผู้รับบท James Bond คนแรกที่ใส่ Omega ซึ่งคือ Seamaster Diver 300m Ref. 2541.80 (Quartz)

ในปี 1995 ทางทีมงานตามหานาฬิกาให้กับนักแสดง Bond คนใหม่อย่างเพียร์ซ บรอสแนนในภาค GoldenEye เปิดโอกาสให้ Omega ผู้ซึ่งชนะการประมูลกลายเป็นนาฬิกาประจำตัวของสายลับอังกฤษชื่อดังอย่างเป็นทางการ รุ่นที่ถูกเลือกคือ Seamaster และต้องมีหน้าปัดสีน้ำเงิน เนื่องจากดีไซน์เนอร์ฝ่ายคอสตูม ลินดี้ เฮ็มมิ่ง (Lindy Hemming) คิดว่านาฬิการุ่นนี้สะท้อนถึงทหารเรือได้ดีที่สุด เธอเคยกล่าวไว้ว่า “I was convinced that Commander Bond, a hushed gentleman from the ranks of the British Navy, was made to wear the Seamaster with the blue dial.” แปลเป็นไทยว่า “ฉันเชื่อมั่นว่าผู้บัญชาการ Bond สุภาพบุรุษผู้เงียบขรึมจากกองทัพเรืออังกฤษถูกสร้างมาเพื่อสวม Seamaster ที่มีหน้าปัดสีน้ำเงิน” จึงเป็นเหตุให้ Omega เรือนแรกที่ปรากฎในภาพยนตร์เรื่องนี้คือ Omega Seamaster Diver 300M Ref. 2541.80 หน้าปัดสีน้ำเงินระบบควอทซ์ ซึ่งภายในเรื่องความพิเศษของ Seamaster เรือนนี้คือสามารถปล่อยเลเซอร์ได้อีกด้วย

Omega Seamaster มีความเหมาะสมและเชื่อมโยงกับ Bond ไม่ต่างจาก Rolex Submariner เพราะในเชิงประวัติศาสตร์ Omega เคยได้รับเลือกให้เป็นนาฬิกาประจำกองทัพอังกฤษ โดยเฉพาะทหารเรือในปี 1960s สอดคล้องกับตัวละคร Bond ที่เป็นทหารเรืออังกฤษก่อนที่จะเข้ามาอยู่หน่วยสืบราชการลับ (Secret Intelligence Service) หรือรู้จักในอีกชื่อว่า MI6 ซึ่งจะปฎิบัติงานในต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ยุคของเพียร์ซก็จบลงในปี 2002 ส่งไม้ต่อให้แดเนียล เคร็ก สายลับ Bond หน้าใหม่ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ขัดใจเหล่าแฟนคลับในช่วงต้น

Daniel Craig —Bond คนล่าสุดกับข้อกังขาเรื่องรูปลักษณ์


แดเนียล เคร็ก ผู้รับบท Bond คนปัจจุบัน

แดเนียล รอตัน เคร็ก (Daniel Wroughton Craig) เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1968 เมืองเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เขาฉายแววพรสวรรค์ด้านการแสดงตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อพ่อและแม่ของเขาหย่าร้างกัน เขาและพี่สาวจึงต้องย้ายไปอยู่กับแม่และทำงานในร้านอาหารเพื่อนำเงินมาใช้เรียนต่อ เคร็กในวัย 16 ปี พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าในการออดิชั่นเข้าโรงเรียนการแสดง จนสุดท้ายจึงได้เข้าเรียนที่ Guildhall School of Music and Drama เมื่อจบการศึกษา เขาก็เริ่มต้นเส้นทางด้วยการแสดงละครเวที จากนั้นก็เข้าวงการและแสดงภาพยนตร์หลายเรื่อง ชีวิตของเขาเหมือนขั้นบันไดที่ก้าวขึ้นไปอย่างเป็นลำดับขั้นและมั่นคงชัดเจน

จนในปี 2005 โอกาสทองของเขาก็มาถึง Eon Productions เสนอบท James Bond สายลับอังกฤษขวัญใจมหาชนให้กับเคร็ก แต่เชื่อหรือไม่ว่าเขาไม่ตอบตกลงทันที เขาเที่ยวปรึกษาเพื่อนมากมายว่าคิดเห็นอย่างไร ทุกคนกล่าวว่ามันเป็นเรื่องที่ท้าทายและบทนี้จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล

อีกฟากหนึ่งของการคัดเลือกนักแสดง เกิดการโต้เถียงกันอย่างมาก เหล่าแฟนคลับแสดงความไม่พอใจและขู่ว่าจะคว่ำบาตรภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่อประท้วง สาเหตุเป็นเพราะรูปลักษณ์ของเคร็กไม่ตรงตามบทประพันธ์ที่เขียนไว้ ทั้งเรื่องความสูงและสีผม เนื่องจากเขาสูงเพียง 178 cm และมีผมสีบลอนด์ ขัดจากนิยายที่ต้องสูง 183 cm และมีผมสีดำขลับ อย่างไรก็ตาม นักแสดง Bond รุ่นก่อน ๆ อย่าง Sean Connery, Roger Moore, Pierce Brosnan และ Timothy Dalton ก็เห็นด้วยกับการเลือก Craig ให้รับบทสายลับนี้

Omega ของ Daniel Craig ในฐานะสายลับ James Bond คนใหม่

จากข้อโต้เถียงที่เคร็กประสบตั้งแต่ยังไม่เริ่ม James Bond ภาคที่เขาแสดงจึงเป็นตัวชี้วัดความสามารถและใช้ลบคำสบประมาทของเหล่าผู้ชม เรื่องแรกของเคร็กคือ Casino Royale ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นนิยายเล่มแรกที่เอียน เฟลมมิ่งเขียนขึ้นในปี 1953 นอกจากนี้ Casino Royale ยังเคยมีการทำเป็นภาพยนตร์มาแล้วในปี 1967 ภายใต้ผู้สร้างอื่น ไม่ใช่ Eon Productions เจ้าของแฟรนไชร์ส James Bond อย่างเป็นทางการ เรียกได้ว่า เคร็กมีข้อเปรียบเทียบแทบทุกภาคส่วน

Casino Royal ออกฉายเมื่อปี 2006 และเพื่อเป็นการเน้นย้ำว่านาฬิกาที่ Bond ใส่คือ Omega จึงเกิดฉากพูดคุยอย่างมีชั้นเชิงระหว่าง Bond และเวสเปอร์ ลีนด์ (Vesper Lynd) ตัวละครหญิงสาวที่พยายามจะวิเคราะห์ Bond ผ่านน้ำเสียงประชดประชันขณะนั่งรถไฟ ลีนด์กล่าวถึงเหล่าสายลับที่ดูออกง่ายดายว่าต้องสวมนาฬิกาที่หรูหราและราคาแพง แล้วหันมาทายนาฬิกาที่ Bond สวมอยู่เพื่อโชว์ว่าเธอเชี่ยวชาญมากแค่ไหน แต่คำตอบของ Bond ทำให้เธอตอบกลับได้แค่ว่า “Beautiful”



Seamaster Diver 300M Ref. 2220.80.00 หน้าปัดน้ำเงิน และ Planet Ocean 600M Ref. 2900.50.91 หน้าปัดดำ

Omega เริ่มทำการตลาดแนวใหม่ ๆ ในยุคของเคร็กโดยใช้ Omega Seamaster Diver 300M หน้าปัดลายคลื่นและขอบเซรามิคสีน้ำเงิน อย่างที่บอนด์คนเก่าเพียร์ซเคยใส่ตลอด 4 ภาคที่ผ่านมา แล้วเสริมด้วย Seamaster Planet Ocean Ref. 2900.50.91 หน้าปัดและขอบสีดำพร้อมสายยางที่ก็ปรากฏอยู่แค่ฉากแรก ๆ เท่านั้น การหยิบนาฬิกาที่มีอยู่สต็อกอยู่แล้วเช่นนี้ไม่สามารถสร้างความตื่นเต้นหรือสร้างความนิยมให้กับ Omega ได้นัก โดยเฉพาะ Seamaster 300M หน้าปัดน้ำเงินที่ Omega พยายามที่จะสร้างภาพจำว่าเป็นนาฬิกาคู่ใจของ Bond

Omega ใน Casino Royale ทั้งสองเรือนนี้ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดทั้งชุดเข็ม หลักเวลา หรือแม้กระทั่ง Bezel แต่ภายในขับเคลื่อนด้วยกลไกใหม่ตัวเดียวกัน คือ Cal.2500 ที่มี Co-Axial เป็นเครื่องแรกของแบรนด์ อีกสิ่งหนึ่งที่ต่างกันคือกระจกแซฟไฟร์ทรงโดมของ Seamaster Diver มีความพิเศษอยู่ตรงที่ป้องกันเงาสะท้อนทำให้อ่านเวลาได้ชัดเจน ซึ่งรุ่นหลัง ๆ ต่อจากภาคนี้เป็นต้นไปก็จะมีนวัตกรรมนี้ทุกเรือน

Casino Royale สามารถทำรายได้สูงสุดในตระกูลภาพยนตร์ James Bond ตั้งแต่สร้างมา และต่อมาก็ถูกทำลายสถิติ ตกเป็นรองให้กับภาค Skyfall ที่ฉายในปี 2012 พิสูจน์ความสามารถของเคร็กได้อย่างไร้ข้อกังขาว่าเขาคือผู้ที่เหมาะสมกับบทนี้อย่างแท้จริง

จุดเปลี่ยนของ Omega หนทางสู่การเป็น Bond Watch ที่น่าจดจำ


Quantum of Solace: Omega Seamaster Planet Ocean Ref. 2201.50.00 และเคร็กในงานเปิดตัวภาพยนตร์

ภาคถัดมาคือ Quantum of Solace ฉายปี 2008 ครั้งนี้มีการตัด Omega Seamaster Diver 300M ออกไป ทำให้เราไม่ได้เห็นนาฬิกาหน้าปัดสีน้ำเงินอีก โดยในภาคนี้ เคร็กใส่นาฬิกาเพียงเรือนเดียวคือ Omega Seamaster Planet Ocean 600M Ref. 2201.50.00 รูปร่างหน้าตาคล้ายกับ Planet Ocean ในภาคที่แล้ว เพราะมีหน้าปัดสีดำ ชุดเข็มและหลักเวลาคล้ายกันหมด ยกเว้นสายที่ไม่ใช่สายยางแต่เปลี่ยนมาเป็นสายสแตนเลสสตีล เข้ากับชุดสูทและดูเป็นทางการมากขึ้น

เหตุผลที่ละทิ้ง Seamaster Diver 300M แล้วใช้เพียง Planet Ocean 600M อาจจะเป็นเพราะภาพลักษณ์ของเคร็กดูบึกบึน และสมบุกสมบันกว่าเพียรซ์ซึ่งเป็น Bond เจ้าสำอางค์ ดังนั้นการเพิ่มความสามารถในการดำน้ำลึกจาก 300 เมตรเป็น 600 เมตรและตัวเรือนที่หนักกว่า ถือเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สะท้อนคาแรคเตอร์ของ Bond ที่เปลี่ยนไป หรืออีกมุมหนึ่ง อาจเป็นการทดสอบเพื่อดูกระแสตอบรับ เพราะตั้งแต่ภาคแรกที่เพียร์ซแสดงจนถึงภาคก่อนหน้า Seamaster Diver 300M ยังไม่เป็นที่นิยมและยังไม่สามารถสร้างภาพจำของการเป็นนาฬิกาคู่ใจของ Bond ได้

นอกเหนือจากเรื่องนาฬิกาที่ใส่ในภาพยนตร์แล้ว นาฬิกาที่เคร็กใส่ตอนออกงานเปิดตัวภาพยนตร์ภาค Quantum of Solace นั้นก็ไม่ใช่ Omega เสียด้วย และคาดว่าน่าจะเป็น Rolex Submariner Ref.6538 ที่ฌอน คอนเนอรี่เคยใส่ เพราะสังเกตุจาก Bezel สีเงินและหลักเวลาวงกลม ไม่ใช่หลักขีดแบบ Omega ที่ใช้ถ่ายทำ รวมถึงสาย NATO สีดำสลับเทาซึ่งคาดว่าเป็นการแสดงถึงความเคารพที่เคร็กมีต่อฌอน ที่เป็นเช่นนี้ก็น่าจะเป็นเพราะทางแบรนด์ไม่ได้จ้างเขาให้เป็น Brand Ambassador เขาจึงไม่คิดว่ามันจำเป็นที่เขาจะต้องสวม Omega ซึ่งหลังจากนั้น 2 ปีหรือปี 2010 เขาก็ได้เป็น Brand Ambassador ของแบรนด์สมใจ


Skyfall: Omega Seamaster Planet Ocean 600M Ref. 232.30.42.21.01.001 และ Aqua Terra 150M Ref. 231.10.39.21.03.001

ถัดมาในปี 2012 ภาคที่ 3 Skyfall ประสบความสำเร็จอย่างมากและทำรายได้สูงที่สุดในภาพยนตร์ตระกูล James Bond แต่ดูเหมือนนาฬิกาของ Omega ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เคร็กกลับมาใส่นาฬิกา 2 เรือนอีกครั้ง และยังคงไร้เงาของ Seamaster Diver 300M โดยเรือนแรกที่ปรากฎในช่วงต้นของภาพยนตร์คือ Omega Seamaster Planet Ocean Ref. 232.30.42.21.01.001 หน้าปัดสีดำและ Bezel สีเดียวกัน รูปลักษณ์เหมือนเรือนในภาคที่แล้ว ต่างที่คำว่า “Seamaster” กลายเป็นสีส้ม และเรือนที่ใช้ถ่ายทำจริงนั้นเป็นไทเทเทียม ส่วนเรือนที่จำหน่ายจะเป็นสตีล อีกเรือนคือ Omega Seamaster Aqua Terra 150M Ref. 231.10.39.21.03.001 หน้าปัดน้ำเงิน ตัวเรือนสตีลไร้ Bezel และไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อปฏิบัติภารกิจสายลับ แต่เหมาะกับการใส่เข้ากับชุดทางการมากกว่า ทำให้ Aqua Terra ไม่ใช่เรือนหลักที่ Omega ต้องการนำเสนอ เหมือนเป็นการพ่วงสินค้าเพื่อการโปรโมทเท่านั้น

ความสำเร็จของ Omega ในฐานะ Bond Watch กับภาพลักษณ์ที่ตามหา

Omega Seamaster 300 Spectre Limited Edition Ref. 233.32.41.21.01.001 และ Aqua Terra 150m Ref. 231.10.42.21.03.003

เป็นระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษตั้งแต่ปี 1995 ที่ Omega ได้อยู่ข้อมือของสายลับ Bond แต่ทางแบรนด์ยังไม่สามารถสร้างภาพจำที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์เคียงข้างสายลับอังกฤษชื่อดังได้เสียที เพราะที่ผ่านมาแบรนด์ใช้กลวิธีนำนาฬิกาที่มีอยู่แล้วมาให้เพียร์ซและเคร็กใส่ซึ่งก็ไม่สำเร็จตามที่กล่าวมาข้างต้น อย่างไรก็ตาม ความพยายามและการลองผิดลองถูกทำให้ Omega ในภาคที่ 4 ของเคร็กมีภาพลักษณ์ที่เข้าที่เข้าทาง ถูกตาต้องใจผู้คนเป็นอย่างมาก เพราะการออกแบบใหม่ที่ทำขึ้นเพื่อ Bond โดยเฉพาะ



Timeline: Omega Seamaster ทั้งหมดในภาพยนตร์ James Bond

Spectre คือ James Bond ภาคที่ 4 และเข้าฉายในปี 2015 ถือเป็นการครบรอบ 20 ปีความสัมพันธ์ระหว่าง Bond และ Omega ซึ่งครั้งนี้เคร็กก็สวม Omega 2 เรือนอีกครั้งแต่มาในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปและพิเศษกว่าภาคอื่น ๆ เพราะนาฬิกาเรือนแรกคือ Omega Seamaster 300 Spectre Limited Edition Ref. 233.32.41.21.01.001 ผลิต 7,007 เรือน ถูกออกแบบมาเพื่อ James Bond โดยเฉพาะ พร้อมสายนาโต้สีดำสลับเทา สลักโลโก้ “OMEGA” และรหัส 007 กับรูปปืนที่ข้อสาย

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรือนนี้คือถูกออกแบบมาให้คล้ายกับ Rolex Submariner Ref.6538 ที่ท่านเซอร์ฌอน คอนเนอรี่เคยใส่ตั้งแต่ภาคแรก Dr. No การที่แบรนด์เลือกนำ Seamaster 300 มาใช้ อาจเป็นเพราะว่านาฬิการุ่นดังกล่าวมีความคล้ายกับ Rolex Submariner ทั้งรูปทรงตัวเรือนและสีของหลักเวลา แต่แค่เปลี่ยนเข็มวินาทีให้เป็น Lollipop ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีวันที่ตามแบบฉบับ Submariner ในยุคนั้น นอกจากนี้การใช้สาย NATO สีดำสลับเทา ก็ทำให้นึภาพคลาสสิกถึงยุคสมัยของฌอน คอนเนอรี่ เป็น James Bond

ส่วน Omega Seamaster Aqua Terra 150M Ref. 231.10.42.21.03.003 หน้าปัดน้ำเงินลายทางตรง เข็มและหลักเวลาเหมือนกับเรือนก่อนหน้า และเป็นอีกครั้งที่เป็นแค่รุ่นพ่วงเพื่อการตลาดเท่านั้น

แม้ Omega Seamaster 300 Spectre Limited Edition รุ่นนี้กลายเป็นที่ต้องการของผู้คนจำนวนมากและตอนนี้กลายเป็นของหายาก แต่ Omega ต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเดินตามหลัง Rolex หรือจะไปต่อกับแนวทางของตนเอง และสุดท้ายคำตอบก็ได้ปรากฏอยู่บนนาฬิกาเรือนใหม่ในภาคถัดมา

Omega Seamaster Diver 300M 007 edition Ref. 210.90.42.20.01.001 สายตาข่าย และสาย NATO

No Time to Die ภาคใหม่ล่าสุดที่จะเข้าฉายปลายปี 2020 นี้ เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปีความสัมพันธ์ระหว่าง James Bond กับ Omega ทางแบรนด์บอกลา Aqua Terra ไป คงหมดเวลาของการลองผิดลองถูก เพราะการพ่วงนาฬิกาคู่รุ่นนี้ไม่เหมาะกับการสะท้อนภาพอุปกรณ์ประจำกายของ Bond แต่อย่างใด Omega เลยจับ Seamaster Diver 300M มาปัดฝุ่นและปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้มีความเป็น Bond ในแบบของแดเนียล เคร็ก ก่อนที่เขาจะบอกลาบทสายลับนี้ไปในตอนที่ 25 นี้

ความพิเศษของ Omega Seamaster Diver 300M 007 edition Ref. 210.90.42.20.01.001 คือเคร็กมาร่วมออกแบบด้วย ทั้งตัวเรือนและสายเป็นไทเทเนียมเกรด 2 น้ำหนักเบาซึ่งต่างจากรุ่นอื่นที่ใช้โลหะผสม 316L สายไนล่อนแบบ NATO เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มแถบเทาและเบจ เพราะ Omega น่าจะต้องการให้ผู้คนคุ้นชินกับการใช้สายไนล่อนที่เป็นคาแรคเตอร์ของ Tool Watch อย่าง Moon Watch Professional หรือ Bond Watch และชวนให้กลับไปนึกถึง Bond ในยุคแรก ๆ ของ ฌอน คอนเนอรี่ ที่แกดูเหมือนจะใส่สายอะไรก็ได้ ที่สะดวกต่อการสวมใส่ในภารกิจขณะนั้น อย่างไรก็ตาม สาย NATO อาจจะดูไม่เข้ากับเครื่องแต่งกายทั้งเรื่องของ Bond มากนัก สายนาฬิกาอีกเส้นหนึ่งจึงเป็นสายถักแบบตาข่ายไทเทเนียม เป็นความแปลกใหม่ที่ลงตัวเข้ากับทุกลุคของสายลับอังกฤษผู้นี้ ไม่ว่าจะใส่ชุดลุยเสื้อผ้ายับขาดวิ่น สูทสีเทาอันเป็นเอกลักษณ์ของเคร็ก หรือแม้แต่ในทักสิโด้สีดำก็เข้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ

Seamaster Diver 300 เรือนนี้ยังมีลายแทงของเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย สัญลักษณ์ลูกศรที่ 6 นาฬิกาและฝาหลังสื่อคววามหมายว่าเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลอังกฤษ ตัวเลขมากมายถูกสลักไว้ก็ล้วนมีความหมายทั้งสิ้น ได้แก่ “0552” เป็นรหัสของทหารเรือ, “923 7697” หมายถึงนาฬืกาของนักดำน้ำ, ตัวอักษร “A” คือรหัสที่บอกว่ามีเม็ดมะยมแบบ Screw-in, “62” หมายถึงปีแรกที่ฉายภาพยนตร์ James Bond ทั้งหมดนี้ทำให้รู้สึกถึงการเป็นอุปกรณ์ของสายลับมากขึ้นและคงเอกลักษณ์ของ Omega ไว้ได้

แต่สิ่งที่ทำให้แฟน ๆ Omega Bond ขัดใจอย่างมากคือการเลือกใช้วัสดุย้อนยุค อย่างวง Bezel ที่กลับใช้แผ่น Aluminum Anodized คู่กับกระจกทรงโดม ถึงหลายคนจะบอกว่ามันดูคลาสิกมาก จุดที่หักดิบที่สุดคือนาฬิการุ่นนี้ไม่ได้ผลิตจำนวนจำกัดตามธรรมเนียมของ Bond Watch แต่กลับตั้งราคาสูงขึ้นกว่ารุ่น Limited เดิมถึง 30% ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการท้าทายตลาดอย่างถึงลูกถึงคนที่สุด และคนที่ใช้กลยุทธ์ Not Limited but Rare นี้ ก็คงหนีไม่พ้น Rolex เจ้าตลาดคู่แข่งตลอดกาลของ Omega เหมือนเป็นการท้าทายว่า ไม่ใช่มีแต่ Rolex แบรนด์เดียวที่ผู้คนใฝ่หา และมันไม่จำเป็นต้องเป็น Limited Version

------

แม้จะขัดกับบทประพันธ์และความคิดของหลาย ๆ คนว่านาฬิกาของ Bond ต้องเป็น Rolex แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงและความปรารถนาของ Omega ที่อยากเป็นนาฬิกาคู่ใจของสายลับขวัญใจมหาชน หลังความพยายามถึง 2 ทศวรรษ ในที่สุดเคร็กและนาฬิกา Omega ก็กลายเป็นภาพจำใหม่ของ James Bond ได้สำเร็จ นาฬิกาในภาคล่าสุดนี้สามารถสะท้อนความเป็น Bond และ Omega ได้อย่างแท้จริง ซึ่งอาจถือว่าเป็นการส่งท้ายอำลาแดเนียล เคร็กผู้ได้ชื่อว่าเป็น Bond ที่ดีที่สุดคนหนึ่งและเป็นผู้ที่นำพาความสำเร็จมาให้กับ Omega ประกอบกับการตลาดที่เปลี่ยนไปเลยก็ว่าได้

อ้างอิง

https://www.nytimes.com/2020/02/19/fashion/watches-omega-james-bond-movies.html

https://www.watchonista.com/articles/interviews/interview-daniel-craig-talks-omega-his-first-seamaster-and-being-bond

Featured Posts
Recent Posts
bottom of page