TAG Heuer Carrera Calibre 36 Flyback Chronograph
เมื่อเดือนกันยายน 2024 ที่ผ่านวงการมอเตอร์สปอร์ตได้มีการเคลื่อนไหวที่สำคัญครั้งใหญ่เมื่อ LVMH Group คุมบังเหียนโดยคุณเบอร์นาด อาร์โนล์ ได้นำทัพเข้ารุกสนามฟอร์มูลาวันวัน อย่างเต็มตัว ด้วยการเซ็นสัญญาให้แท็ก ฮอยเออร์เป็นผู้สนับสนุนหลักและผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการ
LVMH ให้ความสำคัญกับแบรนด์แท็ก ฮอยเออร์ถึงขนาดมอบหมายให้ทายาทคนโตคุณเฟตเดอริก อาร์โนล์ ขึ้นกุมบังเหียนแท็ก ฮอยเออร์ในสนามเอฟวันครั้งนี้และตัวคุณเบอร์นาตก็ได้มีความพยายามสวมใส่แท็ก ฮอยเออร์ออกงานต่างๆ อยู่หลายครั้งเสมือนเป็นบีเออย่างจงใจ
บทความนี้ เราจะไม่พูดถึงนาฬิกาที่คุณเบอร์นาตสวมใส่ แต่เราจะพูดถึงนาฬิการุ่นหนึ่งของ แท็ก ฮอยเออร์ที่สื่อถึงเรื่องราวในความผูกพันในสนามแข่งขันและคำอธิบายว่าเหตุใด Caliber 36 ถึงเป็นตัวจริงในสนามแห่งความเร็ว … ถึงแม้ว่า ต้นกำเนิดของเครื่องกลอมตะชุดนี้ จะกำเนิดมาจากโรงงานนาฬิกาที่ได้ล่มสลายไปแล้วในช่วงวิกฤตินาฬิกาควอตซ์ก็ตาม
กว่าจะถือกำเนิดเกิดเป็นเครื่อง Calibre 36
ย้อนไปเมื่อวันที่ 10 มกราคม 1969 ในช่วงเวลาที่วงการนาฬิกาสวิสยังติดพันอยู่กับเครื่องนาฬิกาที่ใช้วิธีไขลานแบบดั้งเดิมหรืออาจจะต้องหยิบยืมกลไกลของอีทีเอ Valjoux 7xx เป็นหลักแต่ซีนิธได้สร้างความฮือฮาโดยการเปิดตัวเครื่องที่สร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมดภายใต้ชื่อ El Primero (EI Primero มีความหมายว่า “แรก” ในภาษาเอสเปอเรนโต) เครื่องกลไกนาฬิกาที่นอกจากจะสร้างให้กลไกจับเวลาและการเดินลานอัตโนมัติผสานเข้ากันเป็นเนื้อเดียวและไม่สามารถแยกออกจากกันได้ทีมผู้พัฒนา EI Primero ยังตัดสินใจครั้งสำคัญ ตั้งค่าความถี่ของจักรกลอก ให้ทำงานสูงถึง 36,000 ครั้งต่อชั่วโมง ซึ่งหากหารกลับเป็นต่อวินาที ทำให้กลไกนี้ทำงานด้วยความถี่ 10 ครั้งต่อวินาที จึงทำให้มันสามารถจับเวลาได้แม่นยำ 1/10 ของวินาทีตามมาตราฐานควมแม่นยำระดับโครโนกราฟ ถือเป็นกลไกได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงเวลานั้น
หลังจากที่เปิดตัว EI Primero ได้ประมาณ 6 ปี ในปี 1975 ซีนิธและโรงงานนาฬิกาสวิสแทบทั้งหมดต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์นาฬิกาควอตซ์ นวัตกรรมจากญี่ปุ่นที่มีราคาถูกและแม่นยำกว่า ด้วยสภาวะทางการเงินที่ต้องเผชิญทำให้ซีนิธตัดสินใจหยุดการผลิต El Primero และหันไปผลิตนาฬิกาควอตซ์ตามสภาวะการเปลี่ยนแปลงของตลาด (นาฬิกาควอตซ์ที่ซีนิธผลิตมีชื่อว่า "Respirator" และ "Defy Quartz")
แม้ว่าซีนิธตัดสินใจยุติการผลิตเครื่อง EI Primero แต่ยังมีชายผู้หนึ่ง ชายผู้เป็นวีรบุรุษที่ทำให้เครื่อง EI Primero ยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน ชายผู้นั้นมีนามว่า ชาร์ลส์ เวอร์โมต์ หนึ่งในช่างนาฬิกาฝีมือเยี่ยมของซีนิธ คุณชาร์ลส์เองไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจดังกล่าวของซีนิธ คุณชาร์ลจึงแยกเครื่องจักรที่ใช้ในการ EI Primero ออกเป็น 150 ส่วน เก็บไว้ในกล่องเครื่องมือต่างๆ พร้อมเขียนหมายเลขกำกับชิ้นส่วนต่างๆไว้ และนำไปเก็บไว้ตามชั้นเก็บเครื่องมือของโรงงาน เผื่อวันหนึ่งโรงงานกลับมาเปิดกิจการ และคุณชาร์ลหวังว่าเครื่อง EI Primero จะได้กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง
เป็นเวลายาวนานกว่า 15 ปีที่โรงงานผลิตนากาของซีนิธต้องหยุดกิจการ จนกระทั่งในปี 1984 กลุ่มบริษัทนาฬิกาสวิสที่มีชื่อว่าดิกซี อินเตอร์เนชั่นแนลได้เข้าซื้อของซีนิธ การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ มีเป้าหมายในการฟื้นฟูแบรนด์และนำกลไก El Primero ในตำนานกลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้เลยว่า EI Primero จะกลับมามีลมหายใจอีกครั้งไม่ได้เลย หากขาดวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการรักษาเครื่อง EI Primero ของคุณชาร์ลส์ ทำให้ El Primero กลายเป็นหนึ่งในกลไกเครื่องต้นแบบของนาฬิกาโครโนกราฟอัตโนมัติที่ถูกนำมาพัฒนาและใช้งานมาจนถึงปัจจุบันนี้
จนเมื่อเวลาผ่านล่วงเลยมาถึงปี 1999 กลุ่ม LVMH ได้เข้าซื้อกิจการของซีนิธและแท็ก ฮอยเออร์ทำให้ทั้งสองแบรนด์สามารถแบ่งปันเทคโนโลยีซึ่งกันและกันได้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้แท็ก ฮอยเออร์สามารถนำกลไก EI Primero 400 ของทางซีนิธมาพัฒนาเป็น Calibre 36 และเกิดเป็น TAG Heuer Carrera Calibre 36 Flyback Chronograph
Inspiration for design TAG Heuer Carrera Calibre 36 Flyback Chronograph
แท็ก ฮอยเออร์คอลเลคชั่นนี้ได้แรงบันดาลใจจากคอลเลคชันคาร์เรร่าเปิดตัวในปี 1963 (ชื่อคาร์เรร่ามาจาก การแข่งขันรถยนต์ Carrera Panmericana สุดยากในแม็กซิโกและเป็นนาฬิการุ่นฮอยเออร์แรกที่เปิดตัวสำหรับวงการมอเตอร์สปอร์ต) เป็นความตั้งใจของแท็ก ฮอยเออร์ที่นำรุ่นคาร์เรร่า มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ TAG Heuer Carrera Calibre 36 Flyback Chronograph เพื่อแสดงถึงประวัติศาสตร์ของแท็ก ฮอยเออร์ที่เชื่อมโยงกับวงการมอเตอร์สปอร์ตมาอย่างยาวนาน
หน้าปัดขนาด 43 มิลลิเมตร ออกแบบมาเพื่อให้การสวมใส่ให้ดูดีและรู้สึกสบายข้อมือ แม้กระทั่งผู้สวมใส่ที่มีข้อค่อนข้างเล็กเมื่อสวมใส่แล้วก็ยังรู้สึกสบายข้อมือ
การเลือกใช้โทนสีแบบดั้งเดิมเพื่อสื่อถึงความเป็นฮอยเออร์แบบดั้งเดิม ก่อนที่จะถูกซื้อกิจการไปโดยแท็กและ LVMH ตามลำดับ ฮอยเออร์มักออกแบบหน้าปัดที่มีสีตัดกันมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 1960
ยกตัวอย่างตามภาพด้านล่าง ตัวเรือนเป็นสีเทาแอนทราไซต์ตัดกับสีแดง กรอบรอบตัวเรือนทำมาจากไทเทเนียมและเป็นสายหนัง หากเป็นสีอื่นๆ ทั้งตัวเรือนและสายจะทำมาจากสแตนเลสสตีล
การออกแบบโดยการวางเม็ดมะยม ปุ่มสตาร์ท/สต็อปและปุ่มรีเซ็ทแบบฟลายแบ็คไว้ด้านข้าง เพื่อใช้งานฟังชันก์การจับเวลาได้สะดวกและรวดเร็วพร้อมกับฟังชันก์เดย์เดตที่ออกแบบมาให้ผู้ใช้งานสามารถดูวันที่ได้ ตรงหลักหกนาฬิกา
หากจะให้ลัดดาสรุปความดีงามของ TAG Heuer Carrera Calibre 36 Flyback Chronograph ลัดดาขอสรุปว่านอกจากความดีงามของเครื่อง Calibre 36 ที่พัฒนามาจาก EI Primrero ระบบกลไกโครโนกราฟอัตโนมัติเครื่องแรกของโลก ผสมด้วยเรื่องเล่าที่ทำให้ EI Primrero เกือบจะไม่ได้อยู่รอดปลอดภัยมาถึงปัจจุบัน การออกแบบตัวเรือนทั้งรูปทรงและสีที่มองแล้วนึกถึงความเป็นฮอยเออร์ คาร์เรร่า นับว่าเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเลยทีเดียว
Basic Information
Brand: TAG Heuer
Model: Carrera Calibre 36 Flyback Titanium / Black / Racing
Diameter: 43mm
Case Material: Titanium
Dial: Black with luminous markers
Water Resistance: 100m
Strap/Bracelet: Rubber strap with titanium deployment buckle
Movement Information
Calibre: 36
Function: Chronograph, hours, minutes, small seconds
Power Reserve: Approximately 50 hours
Winding Method: Automatic
Frequency: 36,000 vibrations/hour
Jewels: 31
Comments